JESSY & KENNY
คู่รักที่เพิ่งฉลองความรักด้วยงานแต่งงานสุดประทับใจไปหมาดๆ
Photo: ถุง ถัง
เดือนแห่งความรักแบบนี้ เราก็ต้องสัมภาษณ์พูดคุยกับคู่รัก! และนี่คือ “เจสซี่ - เจษฎา ปลอดแก้ว” รองอันดับหนึ่ง Mr. Gay World Thailand 2019 และ “เคนนี่ - ธณชัย อัศวรนนท์” คู่รักที่เพิ่งตัดสินใจจัดงานแต่งงานเพื่อเฉลิมฉลองความรักของพวกเค้าไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
Q: ทำไมถึงตัดสินใจจัดงานแต่งงานขึ้นมา
Kenny: คือผมอยากพิสูจน์ว่า คู่รักผู้ชายกับผู้ชายก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายกับผู้หญิง และผมก็อยากให้ทุกคนเห็นว่า พิธีมงคลสมรสระหว่างผู้ชายกับผู้ชายก็เป็นเรื่องปกติ เพราะการเฉลิมฉลองเกี่ยวกับความรักสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ไม่ใช่เฉพาะผู้ชายกับผู้หญิง
Jessy: เราคิดตรงกันว่า ไม่ว่าจะเพศใดๆ ก็มีสิทธิ์เฉลิมฉลองความรักของตนเองได้ หลายครั้งเรามักถูกตีกรอบหรือจำกัดความคิดจากคนทั่วไปว่า “การเป็นเพศเดียวกันไม่สามารถมีความรักได้เหมือนคนอื่นๆ” หรือ “สิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงแค่เรื่องเซ็กส์” หรือ “จะแต่งกันไปทำไม อยู่ด้วยกันเฉยๆ ก็ได้” แต่คนเหล่านั้นก็อาจลืมไปเหมือนกันว่า เราทุกคนบนโลกใบนี้ก็คือมนุษย์เหมือนกันทั้งหมด มีสิทธิ์ที่จะมีความรัก มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตคู่ มีสิทธิ์สวมแหวน มีสิทธิ์สวมชุดแต่งงานเหมือนกัน
Kenny: ส่วนที่เลือกธีม Modern Chinese เพราะว่าความเป็นจีนมันสื่อถึงความเป็นมงคลในทุกโอกาส ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของการแต่งงาน และธีมจีนเป็นธีมที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วด้วยครับ
Jessy: ความเป็น Modern Chinese ก็อาจจะแฝงไปด้วยนัยที่บ่งบอกว่า กว่าที่เราสองคนจะได้มาตกลงใช้ชีวิตคู่กันก็ต้องผ่านอะไรมามากมาย ต้องต่อสู้ฟันฝ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนบทางสังคม การถูกกีดกัน การถูกปรามาส ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิต หน้าที่การงาน สังคม มิตรภาพเพื่อนฝูง ตลอดจนการถูกมองจากสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกรอบหรือเส้นที่เราจะต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ครับ
Q: มองย้อนกลับไปในวันงาน อะไรคือสิ่งที่ประทับใจที่สุด
Jessy: เอาจริงๆ ประทับใจแทบจะทุกอย่างเลยครับ มันเหมือนเราสามารถก้าวข้ามผ่านสิ่งที่เป็นเหมือนกำแพงไปได้ รวมถึงเพื่อนพี่น้องมาร่วมแสดงความยินดีด้วย มันเต็มไปด้วยความประทับใจจริงๆ คือน้ำตาไหลไม่หยุด มันเหมือนเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เข้าใจว่าน้ำตาแห่งความสุขและความประทับใจมันเป็นยังไง
Kenny: เราได้มองเห็นทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวเราที่ต่างมีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำลายกำแพงอะไรบางอย่างลงไปได้ และทุกคนก็มีรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความยินดีในงาน ผมประทับใจมากที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้
Q: ตลอดเวลาที่คบกันมา อะไรคือสิ่งที่ประทับใจในตัวของอีกฝ่ายมากที่สุด
Kenny: เจสซี่เป็นคนที่ให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของผมมาตลอด เขาเข้าใจถึงการทำงานและเรื่องส่วนตัวของผมในทุกๆ เรื่อง เจสซี่พร้อมให้โอกาสและเปิดรับในทุกเรื่องที่ผมต้องทำ เจสซี่เป็นคนที่มีเหตุผล ไม่งอแง เป็นคนที่มีแบบแผนในการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาที่คบกันมากว่า 5 ปีนี้ เราแทบจะไม่เคยทะเลาะกันเลย ที่สำคัญครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็เปิดรับซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีครับ
Jessy: เคนนี่เป็นคนที่ภายนอกอาจดูโผงผาง แต่เขาเป็นคนที่จิตใจดีมาก เป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วมีความสุข สนุกสนาน และทำให้ทุกวันของเรามีสีสันเสมอ แต่พอเป็นเวลางาน เขาก็จะปรับโหมดเป็นอีกแบบ จริงจัง ขึงขัง ที่ผ่านมาหลายครั้งที่เราต้องการคำปรึกษาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะคอยอยู่เคียงข้างเสมอ เราสองคนดูแลกันและกันมาตลอด จนรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว
Q: มีเคล็ดลับอะไรอยากฝากไปถึงคู่รักคู่อื่นๆ ไหม
Kenny: อยากให้ทุกคู่ที่กำลังคบกันหรือวางแผนจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ใช้เหตุผลและสติให้มากครับ ในการใช้ชีวิตต้องแยกระหว่างความรัก ความห่วง ความหวง ออกจากกันให้ได้ เพราะในทุกพฤติกรรมมันมีความแตกต่างกัน ถึงแม้มันจะคล้ายกัน แม้ว่าผมจะทำงานคนละที่กับเจสซี่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต เราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลย เพราะเรามีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ในเวลาเราเหนื่อยเราท้อ เราก็คุยกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้เรามองแต่ด้านบวกของแต่ละคน มากกว่าที่จะมองด้านลบครับ
Jessy: ไม่ว่าคู่รักเพศใดก็ตาม ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เราทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100% เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่เหมือนในนิยาย บางครั้งการใช้ชีวิตคู่ เราอาจต้องเจอกับสิ่งที่เราอาจไม่ถูกใจกับการเป็นตัวตนของอีกฝ่ายบ้าง เช่นเดียวกัน ตัวเราเองก็อาจมีบางอย่างที่เขาไม่ถูกใจ ก็อยากให้เปิดใจและปรับตัวเข้าหากัน วันใดก็ตามที่เกิดปัญหาหรือมีปากเสียงกัน ก็อยากให้ลองมองย้อนกลับไปดูว่า อะไรคือเหตุผลในการที่เราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แล้วเรารักคนตรงหน้าเราเพราะอะไร
Q: นอกจากพิธีแต่งงานแล้ว คิดว่าคงรอคอยสมรสเท่าเทียมอยู่เช่นกันใช่ไหม
Kenny: มันคือสิ่งที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศรอคอย เพราะว่าต่อให้ผมพิสูจน์ตัวเองยังไง จัดงานแต่งงานต่อหน้าสักขีพยานและแขกผู้มีเกียรติมากมายขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้ชีวิตคู่ของเราถูกเติมเต็มได้ในแง่ของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องสวิสดิการ สวัสดิภาพ ตัวอย่างก็เช่นการเซ็นเอกสารรับรองหรือยินยอมเรื่องต่างๆ ในสถานการณ์การฉุกเฉิน สมมติหากเจสซี่เป็นอะไรขึ้นมา แล้วต้องผ่าตัดด่วนเพื่อช่วยชีวิต ตัวผมเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำอะไรตรงนั้นได้
Jessy: มันเป็นเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานน่ะครับ ผมว่ามนุษย์ทุกคนควรได้รับสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน เราไม่ได้เรียกร้องให้มันมากกว่าคนอื่นๆ เลย แต่เท่าที่เห็นและเป็นอยู่คือเพศหลากหลายไม่ได้มีสิทธิ์เท่าชายหญิงทั่วไปเลย ผมก็เข้าใจนะครับว่าในส่วนของอีกกลุ่มหนึ่งอาจจะมองว่าความรักของเพศหลากหลายนั้นมีสัดส่วนที่จริงจังไม่มากขนาดที่จะต้องให้ความสำคัญ หรืออาจจะมีเรื่องของงบประมาณ และอะไรต่างๆ อีกมากมายตามมาในส่วนของกฎมายแพ่งและพาณิชย์ แต่สุดท้ายมันก็วนอยู่ในอ่างกับประโยคที่ว่า “ใครได้ผลประโยชน์ ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ” หากเราสามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องตรงนั้นได้ ผมว่าอะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น โลกใบนี้ก็จะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
Kenny: ถ้ามองในแง่ของระดับประเทศ ผมมองว่าหากสมรสเท่าเทียมผ่าน ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสามารถต่อยอดไปถึงเรื่องการท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศ เพราะผมมั่นใจว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลก เขาก็มองเราในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
Jessy: มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในแง่ของโครงสร้างทางสังคม ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดคุยปรึกษาหารือกันในทุกฝ่าย ไม่ว่าจะความเข้าใจเรื่องเพศผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐานก่อนเลย ทำให้เกิดการยอมรับก่อนว่าเพศบนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงชายและหญิงเท่านั้น แล้วคนเหล่านั้นล่ะ มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นไหม? แล้วหากเขาอยากมีชีวิตคู่กันล่ะ เขาจะทำอย่างไร? จากนั้นเราก็จะเริ่มเข้าใจกันว่าทำไมการหารือเรื่องสมรสเท่าเทียมถึงสำคัญมากในวันนี้ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่มีผลดีมากกว่าเสีย เพียงแต่ทุกฝ่ายต้องคุยกันบนพื้นฐานของคำว่าเข้าใจซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง